คำไว้อาลัย

อาจารย์ครับ
.
ผมอาจจะเป็นอาจารย์ที่โปรไฟล์ไม่ได้เด่นอะไรนัก
เมื่อเทียบกับอาจารย์หลายท่านในคณะที่มีเกียรตินิยมห้อยท้าย เกรดสูงสูง
.
.
แต่ผมเป็นคนที่อาจารย์เทอดได้กรุณาเลือกเองกับมือ
และติดต่อเจรจากับท่านอาจารย์สงคราม เหลืองทองคำ
(คณบดี สัตวแพทย์ จุฬาฯ สมัยนั้น)
เพื่อให้ผมโอนย้ายมาช่วยงานท่านที่คณะสัตวแพทย์ เชียงใหม่
.
.
สมัยผมยังทำงานที่จุฬาฯ
ท่านได้โทรมาถามเรื่องชุดตรวจมัยโคท๊อกซิน
ก็ได้ประสานงานให้ท่านจนเป็นที่พอใจ
.
พอจุฬาฯส่งมาเทรนเวิร์คชอปที่ทางเยอรมันหอบหิ้วมาจัดให้ที่ มช.
(ตอนนั้นใช้พื้นที่คณะแพทย์ มช.จัด) เลยได้เจอและพูดคุยกับอาจารย์อีกที
.
อาจารย์ย้ายมาก่อตั้งคณะสัตวแพทย์ มช.
น่าจะช่วงสูสีๆ กับเวลาที่ผมเรียนจบกระมังครับ
.
ก่อนจบเวิร์คชอปที่กินเวลาสามสัปดาห์
อาจารย์ได้เอ่ยปากชวนผมให้ขึ้นมาเป็นอาจารย์ที่นี่ บอกว่า
“จู๋....ย้ายมาช่วยอาจารย์เรื่องแลปที่ มช. หน่อยสิ”
.
แม้ผมจะเรียนแจ้งว่าเกรดผมไม่ดีนักก็ตาม อาจารย์บอกว่าไม่เป็นไร
เดี๋ยวจะส่งไปเยอรมันให้โปรเฟสเซอร์เฮิรชคเน่อร์รับเป็นลูกศิษย์ ท่านเกริ่นให้แล้ว.
.
.
นี่คือที่มาของผู้ให้โอกาสสำคัญ ในชีวิตครั้งที่ 3 ของผม
.
.
ครั้งที่1 คือ พ่อแม่และครอบครัว
ครั้งที่2 คือ หัวหน้าหน่วยชันสูตรโรคสัตว์คณะสัตวแพทย์จุฬาฯ สมัยที่ผมเพิ่งจบใหม่ๆ
คร้ังที่3 คือ รศ.น.สพ. ดร. เทอด เทศประทีป
.
ดังนั้น ที่คณะสัตวแพทย์ มช. ผมจึงเห็นอาจารย์เป็นนายคนเดียวและตลอดไป
.
คนอื่นไม่ว่าจะเป็นใคร
ถ้าทำไม่ถูกไม่ควร ผมสวนใส่ตลอด
.
แม้จะเป็นตอนที่อาจารย์ย้ายไปแม่ฟ้าหลวงแล้วก็ตาม
ผมยังคงเหมือนเดิม อย่างไม่แคร์ใคร
.
.
ส่วนสมัยเรียนหนะเหรอครับ....
อาจารย์สอนอยูหน้าห้องผมนั่งเรียนท้ายห้อง หรือบางทีก็ไปเตร็ดเตร่นอกห้องด้วยซ้ำไป
5555
.
อาจารย์ออกจะขรึม เท่ห์ เสียงทุ้ม นุ่มนวล มาดดีตามประสาผู้ดีกรุงเก่า
.
ผมนี่เป็นวัยรุ่นกะโหลกกะลากลิ่นเด็กวัดยังติดตัวอยู่เลย
วันๆเอาแต่เตะฟุตบอลตัวเปียก หัวเหม็น
.
หนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมกล้าไปคุยเป็นการส่วนตัวกับอาจารย์
คือการไปถามยี่ห้อยาเส้นที่ท่านสูบกับไป้ป์ เพราะมันหอมเหลือเกิน
แล้วผมก็ไปห้างหาซื้อยาเส้น ซื้อกระดาษมามวนสูบบ้าง 55555
.
.
จำได้ว่าเรื่องโอนย้ายยังไม่เสร็จดี
ต้นเดือน ตค. 40 อาจารย์ก็ให้คนโทรมาบอกว่ารีบขึ้นมาเชียงใหม่ได้เลย
ปลายเดือนจะส่งไปอบรมที่เยอรมัน 2 เดือน
เดี๋ยวจะคุยกับอาจารย์สงครามให้ (อีกแล้ว)
.
.
นอกจากงานสอน งานก่อร่างสร้างแลป เขียนสเปคเปิด/ปิด
ดีลครุภัณฑ์แลปของคณะช่วงต้นๆแล้ว
อาจารย์ก็มักจะมอบหมายงานแปลกๆให้ผมเสมอ เช่น..
.
.
ให้ไปผ่าตัดช้างที่เหยียบระเบิด
ทั้งๆที่ตั้งแต่จบมาไม่เคยรักษาสัตว์เลย ทำแลปอย่างเดียว
ในคณะตอนนั้นก็มีหมอหมา หมอวัว หมอหมูฯลฯ เยอะแยะ
อาจารย์ก็ส่งไปเป็นฝ่ายพยาบาล ฝ่ายวางยาสลบ ฯลฯ
.
พอผ่าเสร็จก็ยังให้ผมขับรถหลวง ชม.-ห้างฉัตร ไปฉีดยา-ทาแผลทุกวัน นานเป็นเดือนๆ
ทั้งที่ควรเป็นงานของฝ่ายพยาบาล ผมนี่งงเป็นไก่ตาแตกเลยครับอาจารย์
.
.
อาจารย์ให้ผมดูแล อ.รุ่นน้องแคนดิเดตทุนพระราชทานอานันทมหิดลให้สอบภาษาอังกฤษผ่านให้ได้
.
ผมก็จับ อ.ผึ้ง มานั่งอ่านหนังสือที่หออ่างแก้ว
ไปไหนไปกัน เฝ้าน้องอ่านหนังสือ กดเทป-กรอเทปให้
.
พอสมัครสอบ อาจารย์ก็สั่งให้ผมไปนั่งสอบด้วย
(ภาษาอังกฤษเนี่ยนะ ... ผมไม่ต้องใช้สักหน่อย)
.
.
ผลครั้งนั้น ปรากฏว่าอ.ผึ้งไม่ผ่าน....คะแนนขาดไปนิดหน่อย
โดนเรียกเข้าห้องเย็นเลย....ผมนะครับ ไม่ใช่อ.ผึ้ง
โดนดุว่าดูแลน้องไม่ดี น้องถึงพลาด...โฮโฮโฮ
.
ส่วน อ.ผึ้งนั้นอาจารย์เรียกเข้าไปปลอบใจครับ
.
.
ครั้งนึงมีลูกช้างตายอาจารย์ก็่สั่งให้ผมไป infiltrate ฟอร์มาลีนเข้าขาช้าง
นั่งดมไปสิครับ 3-4 ชั่วโมง หน้ากากตอนนั้นน่าจะเป็นแบบเขียวธรรมดาๆ ไม่ได้กรองไอพิษ
.
ดมเช้ายันบ่าย แสบหู แสบตา ไอตลอด ต้องไปหาหมอ
อ. ผึ้งโทรแจ้งอาจารย์ว่าผมป่วย
อาจารย์ช่างกรุณาเหลือเกินครับ....ขับรถมาเยี่ยมผมถึงหออ่างแก้ว
.
แล้วผมก็เดินหน้าแดงลงมาต้อนรับท่านหน้าหอ
ไม่ได้แดงเพราะป่วยหรอกครับ
แต่แดงเพราะเติมเบียร์ไปแล้วหลายขวด
.
.
เมื่อทีมสัตว์ป่าทีมระดับโลกจากอเมริกามาเปิดอบรมที่เขาเขียว อาจารย์ก็ส่งผมไปอีก
ทำให้ได้มีโอกาสเป็นลูกศิษย์โปรฯเก่งๆดังๆ
และต่อมาภายหลังก็ได้กลับมางัดข้อกันเรื่องวัณโรคอย่างสนุกสนาน
.
ส่งผมไปรีดน้ำเชื้อช้างที่ลำปางก็อีก
โปรฯฝั่งเยอรมัน บอกว่าผมเป็นคนเอเชียคนแรกที่เค้าสอนรีดน้ำเชื้อให้เลย
.
จนตอนนี้ผมก็สลัดเรื่องสัตว์ป่าไม่หลุดเสียที
นี่เป็นเพราะอาจารย์เลยนะครับ
.
.
งานพวกนี้มันหลายหลากมากและ บางงานมันไม่ควรจะเป็นผมนะครับอาจารย์
จนบางทีผมแอบนึกไม่ได้ว่าผมเป็นเบ๊ให้อาจารย์อยู่เรื่อยไป
.
ไม่ใช่สิ..คำว่าเบ๊ อาจจะมีคนตีความไปในทางที่ไม่ดี
.
เอาว่าเป็นยาสามัญประจำบ้านดีกว่า
คิดอะไรไม่ออกก็เรียกใช้งานมัน
มันทำได้ทุกอย่างที่อาจารย์ให้ทำ
.
งานจะออกมาดีไหม ผมไม่รู้
งานออกมาเป็นที่พอใจอาจารย์ไหม ผมก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
แต่อาจารย์วางใจให้ผมทำงานให้เสมอ
.
.
ช่วงเวลาที่ทำงานในสมัยที่อาจารย์เป็นคณบดีนี่มันสนุกสนานเหลือเกิน
.
มีโอกาสนั่งทานข้าวที่โรงอาหารด้วยกัน บ่อยๆ
.
บ่อยจนโดนดุว่าผมกินปลาทูแบบเสียของเพราะไม่กินหัวและตาของมัน 555
.
วันไหนว่างๆอาจารย์ก็ชวนไป ทานข้าวโยนโบว์ลิ่งร้องคาราโอเกะ ตีกอลฟ์
.
ไอ้สองอย่างหลังนี่ ผมเลี่ยงตลอด
อาจารย์ก็บอกก็สอนผมเสมอว่า
.
"จู๋ต้องฝึกไว้นะ จะได้มีโอกาสเข้าสังคม เข้าหาผู้ใหญ่"
.
แต่ผมนี่ไม่เอาเลยแอนตี้กีฬากอล์ฟมากกกกกกก ร้องเพลงก็เพี้ยนมาก
.
เออ..ใครๆนึกว่าเพลงประจำตัวของแกคือ Love me tender แต่จริงๆมันคือ
Wooden heart นะ เพราะอาจารย์จะได้ร้องท่อนภาษาเยอรมันด้วย
.
.
ครั้งสุดท้ายได้เจอกันในงานประชุมวิชาการเมื่อปลายปีที่แล้ว
อาจารย์ได้กรุณาเตือนให้ผมเรื่องผลิตผลงานวิชาการและขอตำแหน่งเร็วๆ
ผมก็พลิ้วลื่นไปตามสไตล์ผม
.
โอกาสนึง..อาจารย์เอ่ยปากชมว่า
“เออ....จู๋ นี่มีลักษณะเด่นอย่างนึงนะ เป็นคนสบายสบาย
ทำงานด้วยแล้วมีความสุข”
.
“ดูแต่งตัวสิ ใครเค้าแต่งอย่างนี้มาบรรยายในงานประชุมกัน”
.
อันแรกอาจารย์ชม (ซึ่งน่าจะเป็นการชมครั้งแรกและครั้งเดียวที่อาจารย์ชมผมต่อหน้า)
แต่อันหลังอาจารย์กำลังสอนผมใช่ไหมครับ...ผมรู้
.
.
.
วันนี้อาจารย์จากพวกเราไปแล้ว
.
.
ผมอยากจะกราบขอบพระคุณอาจารย์สำหรับโอกาสดีๆ ที่ให้ผมตลอด
กราบขอบพระคุณที่เมตตาสั่งสอน ทั้งโดยคำพูด และการทำตัวเป็นแบบอย่าง
กราบขอบพระคุณที่กรุณาเลี้ยงหัวปลาหม้อไฟบ่อยๆ ในวันที่อาจารย์ให้ผมไปส่งขึ้นเครื่องตอนค่ำ
.
ซึึ่งเรื่องพวกนี้ก็เรียนแจ้งอาจารย์ไปแล้วหลายครั้งหลายโอกาส
.
เรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกอาจารย์มีอยู่เรื่องเดียว
และผมขอใช้โอกาสนี้เรียนแจ้งอาจารย์่ว่า
.
.
เรื่องปลาเค็มตากใบตัวนั้นครับ
ตัวที่อาจารย์ชมว่า อ.ผึ้งช่างรู้ใจอาจารย์เหลือเกิน
อุตส่าห์สรรหามาฝากจนได้
.
#ปลาเค็มตากใบตัวนั้นเป็นของผมครึ่งตัวครับ
#คนหามาได้คือผม
.
แต่ตอนนั้นผมท้องเสียอยู่ในห้องน้ำ
เลยไม่ได้เอาไปมอบให้อาจารย์ พร้อมกับ อ.ผึ้ง
.
.
ลูกศิษย์กะโหลกกะลาคนนี้ขอกราบส่งอาจารย์
และขอให้อาจารย์ไปสู่ภพภูมิที่สูง ที่สงบ และที่ฉ่ำเย็นครับ
.
.

21 เมษายน 2563